เทศน์บนศาลา

ปัญญารู้เท่า

๒๔ ม.ค. ๒๕๔๘

 

ปัญญารู้เท่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ ฟังธรรม สภาวธรรม ธรรมตามความเป็นจริง ธรรมสิ่งที่เป็นจริง จะชำระกิเลสได้จริง แต่ธรรมที่เป็นความจอมปลอม ธรรมเป็นสิ่งที่เป็นความจอมปลอมเราสถาปนาขึ้นมาของเราเอง สถาปนาเข้ามาจากจิตใจของเรา เราสถาปนาในจิตใจของเราเพราะเราคาดหมายของเราเอง แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงมันเป็นปัจจัตตัง ใจไม่ใช่สถาปนา ใจโดนทำลายนะ ใจต้องโดนสภาวธรรมเข้าไปทำลาย ทำลายกิเลส

เพราะคนเกิดมา คนเกิดมาจากกิเลสนะ คนเกิดมาทุกคนมีกิเลสทุกคน สัตว์เกิดในวัฏวนมีกิเลสทุกคน กิเลสพาสัตว์เกิด สิ่งที่กิเลสพาสัตว์เกิด สิ่งที่เกิดขึ้นมาถึงมีกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนี้เป็นการคาดหมาย ถ้าการคาดหมายธรรม สถาปนาธรรม ธรรมสมมุติ โดยสมมุตินะ ไม่สัจจะความจริงหรอก ถ้าเป็นสัจจะความจริง สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงนั้นต้องเกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติ

การปฏิบัติบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นห่วงมาก ขณะที่จะปรินิพพาน “อานนท์บอกเขาเถิด...” บอกบริษัท ๔ ตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน มีคนมาสักการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลเลย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดาด้วย เป็นพระอรหันต์ด้วย เป็นศาสดาเอกของโลก เผยแผ่ธรรม สั่งสอนธรรม เปิดเผยมากับบริษัท ๔ มามหาศาลจนเกียรติคุณนี้ร่ำลือ ใครๆ ก็อยากจะพบ ใครๆ ก็อยากจะเห็น ใครๆ ก็อยากจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ภิกษุนั่งล้อมอยู่มหาศาลเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นห่วงมากนะ “ภิกษุทั้งหลายเธออยู่ต่อหน้าเรา ถ้ามีสิ่งใดขัดข้องให้ถาม ให้ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” นี้อยู่ในพระไตรปิฎกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเราปรินิพพานไปแล้ว พวกเธอจะวิตกวิจารณ์ ว่าอยู่ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ซักถาม ไม่ได้กล่าววาจากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

“ถ้ามีสิ่งใดขัดข้องให้ถาม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพานแล้ว”

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุต่างๆ ไม่ถาม ภิกษุต่างๆ นั่งเฝ้า ดู เพราะความอิ่มเอิบในธรรม ความอิ่มเอิบเพราะอยู่ใกล้ครูใกล้อาจารย์ สิ่งที่ใกล้ครูใกล้อาจารย์สิ่งนี้เป็นเครื่องดึงดูด ดึงดูดให้ภิกษุเข้ามาประพฤติปฏิบัติกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่ประพฤติปฏิบัติภิกษุไม่มีกิเลสหรือ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทำไมมีครอบครัวล่ะ ทำไมมีสามเณรราหุลล่ะ สิ่งนี้เพราะเกิดมามีกิเลสพาเกิด แต่คนดี คนสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา พระเจ้าสุทโธทนะให้พราหมณ์พยากรณ์ พยากรณ์เป็น ๒ ว่า “ถ้าอยู่ในโลกจะเป็นจักรพรรดิ” อยู่ในโลกนะ โลกคือโลก ในโลกในการปกครองของโลกของเขา “ถ้าออกบวช ออกบวชประพฤติปฏิบัติธรรมจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ถ้าออกบวชนะ

แต่นี้ยังไม่ได้ออกบวชก็คือมีกิเลส กิเลสคือมันสิ่งที่ว่าเป็นการขับดันในหัวใจ แต่เนื้อกิเลส กิเลสคือการกระทำ กิเลสคือสิ่งที่สะสมมาที่ใจ แต่นี้บุญ บุญคือสิ่งที่สะสมขึ้นมาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็สะสมมาที่ใจ ถึงให้มีเหตุ มีเหตุให้ยมทูตมาแสดงธรรมให้ดู เกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งที่เกิด แก่ เจ็บตาย มนุษย์เกิดมาเกิดมาตรงนี้ มนุษย์เกิดขึ้นมา สิ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ครอบสัตว์โลกอยู่ แต่สัตว์โลกสิ่งนี้สะเทือนอยู่ในหัวใจก็ไม่เข้าใจสภาวะแบบนี้ แต่ในเมื่อผู้ที่จิตใจละเอียดอ่อน เห็นสภาวะแบบนั้น ถึงสะเทือนใจ ถึงออกมาประพฤติปฏิบัตินะ ออกค้นคว้า

เราเกิดมาสร้างสมบุญญาธิการมหาศาล แล้วก็ต้องมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกชาติหนึ่ง อีกชาติหนึ่งนะ แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่ยอมคิดอย่างนั้น “ถ้ามีการเกิด แก่ เจ็บตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตาย” โลกมืดคู่กับสว่าง ทุกข์คู่กับสุข ความพอใจคู่กับความทุกข์ในหัวใจ คู่กันไปตลอดเลย ถ้ามีความคู่ มีสิ่งที่เป็นคู่กัน สิ่งที่เกิดแก่เจ็บตายก็ต้องมีของคู่ แต่ใครมีความองอาจกล้าหาญจะค้นคว้าสิ่งนี้ล่ะ? ไม่มีใครเคยคิดองอาจกล้าหาญที่จะค้นคว้าสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนะ

แม้แต่ฤๅษีชีไพร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติก็มีฤๅษีชีไพรที่เขาออกประพฤติปฏิบัติอยู่แล้ว สิ่งที่เขาประพฤติปฏิบัติอยู่เขาก็ปฏิญาณตนกันว่าสิ้นกิเลส เป็นศาสดาสอนอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับเขา ไปศึกษากับเขา แต่ปฏิเสธมาทุกอย่างเลย สิ่งที่ปฏิเสธ ฤๅษีชีไพรขนาดเหาะเหินเดินฟ้าได้ขนาดไหน สิ่งนี้มันเป็นเรื่องโลกียะ ฌานโลกีย์ เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมโดยธรรมชาติของมัน สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว แต่ในเมื่อยังไม่มีปัญญารู้แจ้ง ในเมื่อสิ่งที่เป็นปัญญารู้แจ้งคือชำระ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา

ไข่ เวลามันเจาะฟองไข่ออกมา นี้เป็นรูปธรรม แต่ขณะที่จิตที่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะชำแรกทำลายกิเลสออกมาจากหัวใจ อันนี้มหาศาล สิ่งนี้เป็นที่ว่าสิ่งลึกลับมหัศจรรย์มหาศาลเลย จะไม่มีใครสามารถได้ เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเท่านั้น สาวก-สาวกะผู้ได้ยินได้ฟังนะ

ได้ยินได้ฟังมาขนาดไหนในเมื่อมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งนี้เป็นการคาดหมายทั้งหมด สิ่งนี้เป็นการสถาปนา สถาปนาในเรื่องสภาวธรรม ก็โกง โกงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปไว้ในหัวใจของตัว สิ่งที่โกงมาขนาดไหน กิเลสมันปั้นแต่ง สิ่งที่อวิชชามันปั้นแต่งสิ่งนั้นให้เป็นธรรม เป็นธรรม ธรรมสิ่งนี้เกิดมีในหัวใจ เราปั้นแต่งขึ้นมามันก็เป็นอนัตตา มันก็เป็นอนิจจัง มันเป็นความจริงไปไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นความเป็นจริงไปไม่ได้

เรามีกิเลสมีตัณหามีความทะยานอยาก ในเมื่อประพฤติปฏิบัติ ทำไมกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำไมเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลอกลวงตัวเองล่ะ สิ่งที่เราหลอกตัวเองมันถึงไม่เป็นความจริง สิ่งที่ไม่เป็นความจริง ถึงว่าสิ่งที่ศึกษามาขนาดไหน สุตมยปัญญาในเมื่อมีกิเลสมันมีอยู่ในหัวใจนะ การศึกษา การจดจารึกมาขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้ามีกิเลสในหัวใจ จรรโลงศาสนาได้

ภิกษุในการออกประพฤติปฏิบัติ ออกบวช ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าเราเป็นคฤหัสถ์แล้วเราออกบวชเป็นภิกษุ พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป ๑๖ กัปนะ บุญกุศลของการบวชได้ถึง ๑๖ กัป พ่อแม่เพราะอะไร เพราะพ่อแม่สิ่งที่เลี้ยงลูกมา กว่าลูกจะเจริญเติบโตขึ้นมา เวลาอุ้มท้องมาถึง ๙ เดือน แล้วกว่าจะคลอดออกมา คลอดออกมา แล้วต้องดูแลเลี้ยงดูมา เลี้ยงดูด้วยอะไรล่ะ? ด้วยน้ำนม ด้วยสิ่งที่ว่าตัวเองแสวงหามา สิ่งที่เป็นปัจจัยต้องแสวงหามา ถ้าลูกออกบวช เพราะเลือดเนื้อเชื้อไข เลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อของแม่เข้าไปบวชในศาสนา ไปจรรโลงศาสนานะ จรรโลงศาสนาเพื่อจะให้ศาสนาสืบต่อมา

สิ่งนี้การค้นคว้า ค้นคว้าแสนยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ธรรม ไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปีนะ ๖ ปีค้นคว้าอยู่ คิดดูสิว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐขนาดไหน บุญญาธิการมาขนาดไหน แต่ขณะที่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขาสอนขนาดไหน สิ่งที่เป็นอัตตกิลมถานุโยค สิ่งที่เป็นการประพฤติปฏิบัติอุกฤษฏ์ขนาดไหน อุกฤษฏ์ในสมัยพุทธกาลนะ อุกฤษฏ์ในสมัยปัจจุบันนี้ในอินเดียก็ยังมีอยู่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอุกฤษฏ์ขนานนั้น เป็นพวกฤๅษีชีไพร อัตตกิลมถานุโยคคือทำตนให้ลำบากเปล่า

แต่ในการประพฤติปฏิบัติ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ธุดงควัตร” อดนอน ผ่อนอาหาร ในการประพฤติปฏิบัตินี้ไม่ใช่เป็นอัตตกิลมถานุโยค อันนี้เป็นการขัดเกลา ขัดเกลากิเลส ขัดเกลาสิ่งหยาบๆ นะ สิ่งหยาบๆ คือความเห็นแก่ตัว ความอยากสะดวกอยากสบาย ความต้องการตามความพอใจของตัว สิ่งนี้มันต้องเข้าไปขัดเกลากิเลส นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมไว้ สิ่งนี้ไม่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้ายังเดินตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือมัชฌิมาปฏิปทาจากภายนอก ถ้ามัชฌิมาปฏิปทาจากภายนอกเข้ามา มันจะเข้าไปมัชฌิมาจากภายใน สิ่งที่เป็นมัชฌิมาจากภายในคือความเห็นถูกต้อง ความเห็นจากภายใน ถ้าความเห็นถูกต้อง มันจะเข้าไปชำระ เข้าไปยุบยอบ ทำให้กิเลสมันเบาตัวลงเท่านั้น ความเบาตัวลงของกิเลส นี่สุตมยปัญญา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางอยู่ แล้วถ้าเราเรียนปริยัติคือการศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราสถาปนาขึ้นมาเอง ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากว่าสิ่งนี้เป็นธรรม แล้วมันก็จะรอวันเสื่อมไปข้างหน้าแน่นอน โลกเขาบอกกันว่าในปัจจุบันนี้นะจะแข่งขันกันด้วยปัญญา แข่งขันกันด้วยความรู้ เราก็ว่าเรามีความรู้นะ เราศึกษามาแล้วเรามีความรู้ สิ่งที่เรารู้มา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราคิดในทางโลก โลกเป็นวิทยาสาสตร์ สิ่งที่พิสูจน์ได้

ก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจก็รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรค ๘ ก็รู้เข้าใจหมด คิดชอบ ทำงานชอบ ทุกสิ่งชอบ ทุกอย่างเราก็รู้หมด ทำไมเราจะไม่รู้ ปัญญาเราก็มี

ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาสิ่งที่ว่ามันจดจำมา สิ่งที่จดจำมามันไม่เกิดเป็นความจริง สุตมยปัญญาเป็นสภาวะแบบนี้ จะมีความรู้ขนาดไหน จะมีความสูงส่งขนาดไหน ถ้าเป็นเรื่องของโลกเขานะ เรื่องของโลกเขายังต้องมีรอโอกาสเลย โอกาสที่ว่าขนาดที่ว่า การศึกษา การจบการศึกษามาขนาดไหนถ้าโอกาสของเขาไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะทำธุรกิจขนาดไหนเขาก็เป็นไปของเขาไม่ได้

แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนามา มันมีโอกาส มันมีจังหวะของมันไปนะ โลกเขายังต้องรอจังหวะและรอโอกาสเลย แต่ในหัวใจของเรา ถ้าเราว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา สิ่งนี้เป็นปัญญา ดูสิ ในปัจจุบันนี้ เขาอยู่ในสังคมเมือง แม้แต่ทิ้งขยะเขายังต้องมีการสั่งสอนกันนะ ขยะนี้ขยะเปียก ขยะนี้ขยะแห้ง ขยะนี้ต้องแยกนะ ถุงนี้ ถุงนี้สีนี้ใส่ขยะเปียก สีนี้ใส่ขยะแห้ง แล้วที่เป็นแก้วก็ต้องแยก แล้วถ้าในสังคมเมือง ทุกคนแม้แต่การทิ้งขยะยังต้องใช้ปัญญา

แต่เดิมสังคมโบราณเรามา สิ่งที่ทิ้งเราก็ทิ้งไป เพราะสังคมมันยังแคบอยู่ ในปัจจุบันนี้เรื่องขยะจะเป็นปัญหามากเลย ในการจะทิ้งขยะต้องแยกขยะก่อน ถ้าใครแยกขยะ ทิ้งขยะออกไป คนนั้นคือมีปัญญา คนที่เป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ที่รับผิดชอบสังคม เห็นสังคมควรช่วยเหลือสังคมขนาดไหน ขยะของเราไม่ควรจะไปเป็นภาระของสังคมนั้น เห็นไหม แม้แต่การทิ้งขยะเขายังต้องใช้ปัญญาเลย

ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เป็นปัญญา ปัญญาชำระกิเลส สิ่งที่เป็นปัญญาชำระกิเลสเราสามารถแยกขยะได้ เราสามารถทิ้งขยะถูกต้องตามแยกส่วนของเขา แล้วขยะนั้นเราทิ้งไปแล้วเราได้อะไรล่ะ เห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากเหมือนขยะ ถ้าสิ่งที่เป็นขยะในหัวใจของเรา มันเบียดเบียนเรานะ มันทำให้เราเป็นทุกข์ มันทำให้เราวิตกวิจารณ์ สิ่งที่เป็นนิวรณธรรม

นิวรณธรรมนะ ความลังเลสงสัย ความง่วงเหงา หาวนอน ความคิดต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมา นิวรณธรรมอันนี้มันจะกางกั้นใจ สิ่งที่เป็นกางกั้นใจ มันเป็นขยะของหัวใจ ถ้ามันเป็นขยะของหัวใจ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว สภาวะนิวรณธรรมมันจะปิดกั้นความสงบของใจ สิ่งที่ความสงบของใจถ้าเรามีนิวรณธรรมเราจะแก้ได้อย่างไรล่ะ

ถึงต้องอดนอน ถึงต้องผ่อนอาหาร อดนอน ถ้ามันง่วงเหงาหาวนอน อดนอนมันยิ่งไม่ง่วงใหญ่หรือ ถ้าเป็นคนถูกจริต ถูกนิสัยนะ เราอดนอน อดนอนเพราะอะไร เพราะมันอยากนอน คนเราอยากนอนนะ นอนแล้วนอนเล่า นอนจนขนาดไหนมันก็ไม่เคยอิ่มนะ แต่ถ้าเราฝืนมัน มันอยากนอนเราไม่นอน มันอยากกินเราไม่กิน มันอยากไปเราไม่ไป

เราจะเริ่มฝืนตัวเราเอง เราจะกำจัดขยะในหัวใจของเรา สิ่งที่เรากำจัดขยะในหัวใจของเรา เราแยกขยะของเราได้ ถ้าเราแยกขยะของเราให้ได้ ปัญญาอย่างนี้ปัญญาแยกขยะ สิ่งที่แยกขยะ แยกให้ออกไป ให้ความง่วงเหงาหาวนอน ให้สิ่งที่ฟุ้งซ่าน ให้สิ่งที่เป็นภาระของหัวใจนี้ให้มันเบาลง สิ่งที่เบาลง จิตมันก็เริ่มยืนตัวขึ้นมาได้ สิ่งที่แยกขยะ นี่คือปัญญานะ

ถ้าปัญญาของโลกเขาเป็นอย่างนั้น เขาได้รับคำชมเชย ผู้ที่มีหน้าที่เขาเก็บขยะ เก็บขยะบ้านนี้ประจำ บ้านนี้จะแยกขยะออกมาให้เราสำเร็จเรียบร้อย แล้วขยะเปียก ขยะสิ่งที่ว่ามันเป็นแก้วเป็นอะไรเขาแยกมาให้พร้อมเลย

เราแยกขยะแล้วเราได้อะไรล่ะ ผู้ที่เขารับขยะนั้นไปนะ ขยะเดี๋ยวนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าโลกต้องใช้ทรัพยากรมาก เขาเอากลับไปใช้ใหม่นะ เขาเอาไปขายให้กับโรงงานต่างๆ ก็ได้ สิ่งที่โรงงานนั้นเขาจะเอาขยะนี้กลับมาใช้ได้ใหม่ ขยะที่เราแยกออกเขายังเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้นะ แต่เราว่าเราแยกขยะของเราออกแล้ว เราว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมหรือ

สิ่งนี้เป็นธรรม ทำไมเราแก้กิเลสของเราไม่ได้ล่ะ ถ้าสิ่งที่เราแก้กิเลสของเราได้ มันต้องเป็นสภาวธรรมขึ้นมาสิ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนให้ทำศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา สิ่งนี้เป็นพื้นฐานของโลก มันถึงมีโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา แม้แต่โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา สิ่งที่เป็นปัญญานี้ก็เป็นปัญญาประจำโลก แล้วโลกุตตรปัญญาเกิดมาจากไหน ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมเห็นสมควรแก่ธรรม มันจะเห็นความเป็นไปของปัญญาที่แยกส่วน ปัญญาแยกส่วน ปัญญาส่วนหยาบๆ มันเป็นปัญญาของโลกเขา มันก็ต้องใช้สิ่งที่เป็นไปก่อน มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด คือเราปฏิเสธโลกไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากมารดานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเกิดมาจากพ่อจากแม่นะ แล้วเวลาเกิดจากธรรม เกิดจากธรรมภายใจหัวใจ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำแรกกิเลสออกไปจากใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสอนน้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี ไปสอนพระเจ้าสุทโธทนะ เวลาเกิดในโลกนี่เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากน้าเลี้ยงชีวิตมา แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาธรรมไปเลี้ยง เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ เลี้ยงน้าขึ้นมาจนธรรมเกิดขึ้นจากในหัวใจ สิ่งที่เป็นโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญามันต่างกันอย่างนี้ โลกียปัญญาคือสิ่งที่เป็นเรื่องของโลก เราก็เข้าใจเรื่องของโลก นี่โลกของโลก ความเป็นไปของโลก สัตว์โลกเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องมีการบำรุงรักษากัน ปัจจัยเครื่องอาศัย นี่เป็นเรื่องของโลกแล้วก็เกิดจากโลกสิ่งที่เกิดจากโลก สิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัยเป็นโลกียปัญญา

แล้วโลกุตตรปัญญาเกิดจากอะไร? เกิดจากถ้าเรามีธรรมขึ้นมามันจะเกิดโลกุตตรปัญญา ถ้าเราไม่เกิดธรรมของเราขึ้นมา มันจะเป็นโลกียปัญญา แล้วเราก็จะยึดโลกียปัญญาว่าเป็นปัญญาของเรา เป็นสิ่งที่เป็นสภาวธรรม สิ่งที่เป็นสภาวธรรมไปไหน ในเมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลทำให้ใจปกติ ทำไมเป็นความปกติ เราไม่ผิดศีล ศีล แม้แต่ศีลเรายังไม่ก้าวล่วงศีลนะ ถ้าเราก้าวล่วงศีลเราไม่มีศรัทธาความเชื่อ เราจะเอากำลังที่ไหนมาประพฤติปฏิบัติ

ในเมื่อเรามีศรัทธาเราเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาความเชื่ออันนี้เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของใจ ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อนะ จิตนี้มืดบอด จิตมืดบอดมันปฏิเสธไปทุกอย่าง มันเห็นแก่ตัว สิ่งที่เห็นแก่ตัวจะเอาเปรียบสังคม เอาเปรียบทุกคน เอาเปรียบต่างๆ แล้วก็เอาเปรียบตัวเองเพราะมืดบอดมันไม่เห็นตัวเอง จะทำลายตัวเอง เพราะสิ่งที่ทำขึ้นมานั้นเป็นอกุศล เป็นการทำลายผู้อื่นแล้วมันก็จะมาทำลายตน

แต่ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธามันจะเปิดกว้าง ศรัทธาคือเราหงายภาชนะเปิดใจของเรา ถ้าเราเปิดใจของเรา สิ่งที่ละเอียด สิ่งที่เป็นคุณธรรมในหัวใจมันจะเปิดขึ้นมาจากตรงนี้ ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อเราถึงรักษาศีล ถ้าเรารักษาศีล เราถึงไม่ก้าวล่วงศีลของเรา ถ้าเราก้าวล่วงศีลของเรา นี่ศีลไม่บริสุทธิ์ เกิดสมาธิก็สมาธิที่ไม่บริสุทธิ์

เวลาสิ่งที่เขาทำโจรกรรมกัน ทางโลกเขาทำโจรกรรมกัน การที่จะยึดครองประเทศกัน เขาวางแผนนะ เขามีฝ่ายเสธฯ เขามีฝ่ายต่างๆ เขาจะยึดครองประเทศกันเขาวางแผนนะ เข้าไปทำลายก่อน ทำให้ประเทศนั้นอ่อนแอ ทำลายทุกๆอย่างเพื่อจะให้อ่อนแอ แล้วเราก็เข้าไปแสดงธรรม ว่าจะเข้าไปช่วยเหลือ เราจะเข้าไปยึดประเทศของเขา สิ่งนี้มันต้องใช้ปัญญาไหม สิ่งนี้ต้องใช้สมาธิไหม สิ่งนี้ต้องใช้ไหม ถ้าศีลมันไม่บริสุทธิ์ สิ่งการกระทำเบียดเบียนคนอื่น ถึงจะเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาทางเบียดเบียนคนอื่น

ถ้ามีศีล ศีลมันทำไม่ได้ เพราะอะไร ปาณาติปาตา การล่วงเอาเปรียบคนอื่น การฆ่า ถ้าศีลโดยตัวอักษร ปาณาติปาตา ทำชีวิตให้ตกร่วง สิ่งนี้ผิดศีล แต่ในการทำลายเขามันก็เป็นปาณาฯ โดยที่เบียดเบียนกัน ถ้าเราเบียนเบียนกัน อธิศีลมันจะคิดออกมาจากใจอย่างนี้ เราถึงไม่เบียดเบียนเขา สิ่งที่อาศัยกับโลกนะ

ถ้าเราเป็นภิกษุ สิ่งที่เราเป็นภิกษุ ชีวิตนี้ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงชีวิตชอบ ด้วยการภิกขาจาร เขามีศรัทธา มีความเชื่อของเขา เขาใส่บาตร เขาทำบุญกุศลของเขา เราภิกขาจารไป นี่มันบริสุทธิ์ ไม่ได้เบียดเบียนเพราะอะไร เพราะเราเป็นสาวะกะ-สาวกด้วยกัน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเขาต้องการบุญกุศลของเขา เขาก็ต้องสละทานของเขา

ภิกษุ นักรบออกบวช เราก็อาศัยเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพด้วยการภิกขาจาร แล้วภิกขาจารไป สิ่งที่ภิกขาจารไป เราไม่หวังสิ่งใด หวังออกไปบิณฑบาตเพื่อเลี้ยงชีวิต ปัจจัย ๔ เกิดอย่างนี้ ไม่ใช่เบียดเบียน ถ้าเบียดเบียนคือการไปคดโกงเขา ไปวางแผนเป็นมหาโจรว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณธรรม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีคุณธรรม ให้เขามาบำรุงรักษา สิ่งนี้เป็นมหาโจรนะ

แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงของเขา เขาศรัทธาของเขา เขาทำบุญของเขา สิ่งนี้ไม่เบียดเบียน ถ้าเราไม่เบียดเบียน ไม่ผิดศีล ศีลเราจะสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าศีลเราสะอาดบริสุทธิ์ เราทำสัมมาสมาธิ เราถึงต้องทำสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิเกิดขึ้นนะ ถ้าเรามีศรัทธา มีความเชื่อ

เวลาเรากำหนดพุทโธ พุทโธ เพราะกรรมฐาน ๔๐ ห้อง ให้กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธเพราะอะไร พุทโธเพราะเป็นพุทธานุสติ เป็นกรรมฐานองค์แรก พุทโธคือพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธ ทั้งสติ สติ ถ้าอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก เราจะมาผูกกันก่อนก็ได้ เพราะมันรูปธรรม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ สิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องได้ยาก แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องได้ยากเราจะหาได้อย่างไรล่ะ

เราถึงหาสิ่งที่กระทบ อานาปานสติคือกำหนดลม ลมคือลมเข้าออกในปลายจมูก เรากำหนดสติไว้ที่ปลายจมูก กำหนดลมเข้านึกพุธ พอกำหนดลมออกนึกโธ มันเป็นรูปธรรมที่เราจะเกาะเกี่ยวตรงนี้ออกไป ถ้าเราเกาะเกี่ยวตรงนี้ออกไป ออกไปเพื่อกำจัดสวะ สิ่งที่เป็นขยะออกไปจากหัวใจ ถ้าว่าพุทโธ พุทโธ ถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธถ้าเริ่มกำหนดเข้ามา ถ้าจิตนี้มันคล่องตัวขึ้นมา แล้วคล่องตัวขึ้นมา ละเอียดเข้ามาๆ

ถ้าสติเราอ่อน มันถึงกับจะทำให้เราตกภวังค์ได้ ถ้าเราจะวางลมหายใจ หรือวางพุทโธอันใดอันหนึ่ง เพื่อจะให้สติชัดเจนขึ้นมา สติชัดเจนขึ้นมาเรากำหนดพุทโธก็ได้ อานาปานสติก็ได้ แยกส่วนกัน เอาอันใดอันหนึ่งเพื่อให้สติมันพร้อมสมบูรณ์ขึ้นมา เปรียบเหมือนกับเราขุดดิน ขุดดิน ขุดบ่อเพื่อจะหาน้ำ ถ้าเราขุดบ่อนะ ขุดบ่อไปในบ่อ ขุดไปที่ดิน ตาน้ำกับสิ่งที่ว่าเป็นแหล่งน้ำ กับสิ่งที่เป็นที่แห้งแล้งนี่ต่างกันนะ

สิ่งที่เป็นที่แห้งแล้งเราต้องขุดบ่อลึก กว่าเราจะได้บ่อน้ำตื้นนะ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นสิ่งที่อุดมสมบูรณ์ เราขุดตื้นๆ เราก็ได้น้ำนั้นนะ นี่ก็เหมือนกัน กำหนดพุทโธ พุทโธ เหมือนเราขุดบ่อ ถ้าเราขุดบ่อไปของเรา ถ้าเราขุดไปโดยที่เราไม่ย้ายที่ขุดไปบ่อยๆ เราขุดไปสภาพอย่างนั้น มันต้องเจอน้ำแน่นอน เจอน้ำนะ เพราะสิ่งนี้ใต้พื้นดินนี้มีน้ำอยู่แล้ว

นี้ก็เหมือนกัน เราขุดเพราะอะไร เพราะเรามีความรู้สึก เรามีหัวใจ สิ่งที่เป็นหัวใจโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากปกปิดไว้ สิ่งที่เราปกปิดไว้เรากำหนดพุทโธๆ เหมือนเราขุดไปที่บ่อน้ำนั้น เราขุดเข้าไปที่ใจ ขุดไปถึงที่สุด บ่อน้ำของใครก็ส่วนบุคคล คนที่ขุดลึกก็ต้องลงลึกหน่อย คนที่ขุดตื้น กำหนดพุทโธ พุทโธ บางทีมันก็สงบบ้างเล็กน้อย สงบ

ความสงบคือว่าจิตมันรู้สึก สิ่งนี้เป็นสมาธิธรรมนะ ถ้าเป็นสมาธิธรรม จิตเข้าไปถึงสภาวะสงบอันนี้ เข้าไปถึงแหล่งน้ำ สิ่งที่เป็นแหล่งน้ำ เราขุดขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมาเอง มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความรู้สึกจากใจดวงนั้น สิ่งนี้มันเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งนี้มันเป็นถ้าเราทำสงบได้บ่อยๆ ครั้งมันจะตั้งมั่นขึ้นมา สิ่งที่ตั้งมั่นขึ้นมา นี่เราหาแหล่งน้ำ

นี่เหมือนกัน ถ้ามันใช้ปัญญา ผู้ที่กำหนดพุทโธ นี่ศรัทธาจริต ปัญญาผู้ที่มีพุทธจริตคือมีใช้ความคิดมาก ความคิดมันจะมีความคิดของเรา เพราะความคิดมันกำหนดพุทโธๆ มันไม่อยู่ เราใช้ความคิด ความคิดของเรามันเหมือนเราแหวกสวะ แหวกจอกแหน จอกแหนเพื่ออะไรล่ะ? เพื่อให้เห็นน้ำนะ แหวกจอกแหนไปเรื่อยๆ มันก็กระทบกระเทือนเข้ามา เพราะอะไร

เพราะมันมีความรู้สึก ลองความรู้สึกของเรา จอกแหนคืออารมณ์ความรู้สึก เห็นไหม มันปกคลุมจิตตั้งมั่น ปกคลุมสิ่งที่ว่าเป็นน้ำนั้นอยู่ มันมีจอกแหนคลุมอยู่ ถ้าเราแหวกออกไปเรื่อยๆ แหวกออกไปเรื่อยๆ แหวกออกไปมันก็เห็นแหล่งน้ำ เห็นน้ำ ถ้าเห็นน้ำ นั่นน่ะ สัมมาสมาธิ นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ว่าเป็นความรู้สึก สิ่งนี้มันเป็นปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ แล้วขยะนั้นไปไหนล่ะ ขยะนั้นนะ เขาสามารถเอาไปทำในโรงงานนั้นได้ มันยังมีงานอีกมหาศาลเลย

แต่ทำไมครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาศรัทธา บอกว่าแสดงธรรมเพื่อให้เรามั่นใจว่าธรรมะมีจริง ถ้าสิ่งที่เป็นความว่าง สิ่งที่เป็นความสุขในหัวใจ เพราะมันเป็นความฟุ้งซ่าน สิ่งฟุ้งซ่านมันเป็นความทุกข์ สิ่งที่เป็นความทุกข์มันปกคลุมหัวใจอยู่ ถ้าเรามีสติ เราใช้ปัญญาความคุมความคิดเข้าไป แหวกจอกแหนออกไป มันจะถึงแหล่งน้ำได้ มันจะถึงความสุขนั้นได้ ถ้าถึงความสุขนั้นได้ นี่ประกันว่าสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติมันมีเหตุผลรองรับ สิ่งที่มีเหตุผลรองรับเพราะมีสภาวธรรมรองรับ นี้คือมรรคหยาบๆ

แล้วถ้าจะยืนยัน ครูบาอาจารย์จะยืนยันนะว่า มรรคผลนิพพานมีจริง

สิ่งที่มีจอกแหนอยู่คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปกคลุมหัวใจอยู่ สิ่งที่เราแหวกจอกแหนออก เราทำลายจอกแหนออก เรายกขึ้น เราทำลายจอกแหน เอาจอกแหนขึ้นบนฝั่ง ทำลายจอกแหนนั้นออกทั้งหมด สิ่งนี้เป็นนิพพาน นิพพานคือความจริง เหมือนกัน ขุดบ่อๆ ครูบาอาจารย์เอาสิ่งนี้มาเป็นบุคลาธิษฐานนะ บุคลาธิษฐานส่วนหนึ่ง

มรรคหยาบ-มรรคละเอียด ถ้ามรรคหยาบๆ ก็บอกนี้คือสัมมาสมาธิ นี้คือแหล่งน้ำ นี้คือสิ่งที่โรงงานไหนก็แล้วแต่ต้องมีแหล่งน้ำเขาจึงตั้งโรงงานของเขาได้ เพราะน้ำนี้เป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับโรงงานต่างๆ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นแหล่งน้ำ สิ่งที่เป็นต่างๆ นี้เป็นมรรคหยาบๆ แต่ถ้าเป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเราแหวกจอกแหนออกสิ่งนี้จะเป็นสภาวธรรมนะ

แต่สภาวธรรม ถ้าเป็นสภาวธรรมจริง เราจะต้องรู้ว่าสิ่งที่เป็นขยะนี้เขาเข้าโรงงานไหน เขาทำงานอย่างไร สิ่งที่เป็นการทำงานยังมีเป็นมหาศาลเลยนะ ถ้าเราเพียงแต่ว่าเราแหวกจอกแหนออกแล้วเราจะเห็นสภาวธรรม จะเป็นธรรมตามความเป็นจริง นี้มันเป็นแค่ในชุมชน เขาทิ้งขยะกันนะ เขายังแบ่งขยะออกถูกต้องเลย ว่าขยะสิ่งนี้ควรจะทิ้งภาชนะไหน สีไหน แล้วเขาจะแบ่งแยกไปเพื่อจะให้คนเก็บขยะนั้นไป สิ่งที่เก็บขยะนั้นไป เก็บขยะไปเขาก็ยังไปทำธุรกิจของเขานะ เราเหมือนกัน ถ้าเขาทำธุรกิจของเขา เขาจะตั้งโรงงานอะไรขึ้นมาล่ะ

ถ้าเป็นเศษแก้วเขาก็ทำเป็นโรงงานแก้ว ถ้าเป็นเศษเหล็ก เขาก็เป็นโรงงานถลุงเหล็ก สิ่งที่เป็นโรงงานถลุงเหล็ก เราจะเอาสิ่งอะไรไปถลุงเหล็กล่ะ สิ่งที่ถลุงเหล็ก มันเหมือนกับว่า ในการประกอบธุรกิจการสร้างโรงงาน ถ้าเราไปเอาเทคโนโลยีของเขามา เราต้องการอะไรล่ะ เราต้องการเทคโนโลยีของเขา เพราะอะไร เพราะเราจะตั้งโรงงานถลุงเหล็ก เราต้องการหลอมแก้ว เราต้องการตั้งโรงงานอะไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้มันเป็นที่ว่ามันต้องร่วมทุน ถ้าเป็นการร่วมทุน ถ้าเราไม่ร่วมทุน เราไปเอาของเขามา มันเป็นลิขสิทธิ์นะ เขาเอาเป็นลิขสิทธิ์ เรามีความผิดตามกฎหมาย

นี้ก็เหมือนกันถ้าเราสร้างภาพ เราสร้างความเป็นไปของเราขึ้นมา เราจะมีความผิดทางกฎหมาย ถ้าเราไม่สร้างภาพขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจริง ความเกิดขึ้นมาจริงเหมือนกับกิเลส เรามีกิเลสอยู่ในหัวใจมันสร้างภาพแน่นอน สิ่งที่ว่าเราปล่อยวาง เราพิจารณาอะไรของเราของเราขึ้นมาต่างๆ สิ่งนี้มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิทั้งหมด ถ้าเราคิดว่าเราปล่องวางเข้ามาขนาดไหน กิเลสมันหลอกเรา เราจะจมอยู่ในกิเลสนั้น แต่มันสถาปนาธรรมมันก็หลอกตัวเอง หลอกตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นสภาวธรรม สิ่งนี้เป็นสภาวธรรม

แต่ขณะที่ว่าคนที่เริ่มวิปัสสนาได้นะ ตั้งโรงงานเข้ามาได้นะ เหมือนกับการร่วมทุน การร่วมทุน เราร่วมทุนกับใคร ร่วมทุนกับเจ้าของเทคโนโลยีต่างๆ ใช่ไหม ร่วมทุนกับผู้ที่มีตลาด ที่เขาจะสามารถเอาสินค้านั้นออกไปได้ใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เพราะเรามีวัตถุดิบ แต่เราไม่มีเทคโนโลยี เราไม่มีปัญญา นี่ก็เหมือนกัน ขนาดที่เราแหวกจอกแหนขนาดไหนก็แล้วแต่ เรามีแต่วัตถุดิบ เรามีแต่สัมมาสมาธิแล้วเราจะทำอย่างไรให้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เพราะจอกแหนเดี๋ยวมันก็มาปิด ปิดบังหัวใจอยู่

มรรคหยาบๆ ไง สิ่งนี้ครูบาอาจารย์ท่านยืนยันเป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของมรรคหยาบ เป็นเรื่องของทำความสงบของใจ แต่ถ้าความสงบของใจ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ยืนยันเป็นบุคลาธิษฐานที่ว่ามรรคละเอียดขึ้นไปนั้น สภาวะที่ว่าจิตมีอยู่ ธรรมมีอยู่ แต่โดนกิเลสหลอกไว้ โดนกิเลสปกคลุมไว้ ถ้าเราจะชำระกิเลสของเราออกมามันต้องมีวิธีการ สิ่งที่เป็นวิธีการ ขณะจิตที่มันพลิกขึ้นมา มรรคหยาบ-มรรคละเอียดเข้าไปเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา มันจะทำอย่างไร

สิ่งที่ทำอย่างไร ระหว่างถ้าเราร่วมทุนขึ้นมา เหมือนกับเรามีกิเลส เรามีกิเลส เราทำสิ่งต่างๆ กาย เวทนา จิต ธรรม จะวิปัสสนาสิ่งใด ธรรม ความรู้สึก อารมณ์กระทบต่างๆ ถ้ามันปล่อยวางเข้ามาขนาดไหนมันเป็นสิ่งที่ปล่อยวางเข้ามา มันรอวันเสื่อมนะ มันรอวันเสื่อม เพราะอะไร

เพราะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมที่เกิดขึ้น มันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดาของมัน สิ่งนี้ต้องเสื่อมไปโดยธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ถ้าเราไม่เริ่มตั้งโรงงานของเราขึ้นมา ถ้าเราตั้งโรงงานของเราขึ้นมา ในการร่วมทุน ร่วมทุนใครกับใคร? ร่วมทุนระหว่างกิเลสกับธรรม ในการประพฤติปฏิบัติแต่เริ่มต้น เริ่มมาจากโลก เราเกิดมาจากโลก เกิดมาจากความรู้สึกของเราทั้งหมด เราถึงต้องทำความสงบของใจ ปัญญาอบรมสมาธิขนาดไหน ปัญญาเกิดแค่ขนาดไหน จะแหวกจอกแหนขนาดไหนมันเป็นความสงบของใจเท่านั้น

สิ่งที่ความสงบของใจเท่านั้น ถ้ามันจะร่วมทุนมันต้องยกขึ้นวิปัสสนาในกาย เวทนา จิต ธรรมได้ ถ้าเรายกขึ้นวิปัสสนาในกาย เวทนา จิต ธรรม มันระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กัน ความร่วมทุนระหว่างกิเลสกับธรรมนะ ถ้าความร่วมทุนระหว่างกิเลสกับธรรม เพราะธรรมสภาวะเราประพฤติปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติเพื่อจะชำระกิเลส ถ้าเราปฏิบัติเพื่อจะชำระกิเลส สภาวธรรมมันจะเกิดสภาวะแบบนี้ มันเป็นการร่วมทุนกัน

สิ่งที่เป็นการร่วมทุนกัน มันไม่ใช่ของเรา มันสิ่งนี้มันต้องหาร ๒ ระหว่างกิเลสกับธรรม ถ้าเราวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม โดยสภาวธรรมนะ ถ้าสภาวธรรมนี้มีเป็นความเป็นจริงขึ้นมา จะปล่อยวาง ปล่อยวาง ผลประโยชน์แบ่งหาร ผลประโยชน์ต้องแบ่ง ๒ ผลประโยชน์ที่จิตมันปล่อยวางขนาดไหน มันตทังคปหาน มันชั่วคราว

ถ้าเราวิปัสสนาขึ้นมาในกาย เวทนา จิต ธรรม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วยกขึ้นวิปัสสนากาย ขณะที่มันปล่อยวางกายขนาดไหน ว่างขนาดไหนก็แล้วแต่ ว่างขนาดที่ว่าเราทำสินค้านั้นออกมาได้ โรงงานที่เอาสวะ เอาสิ่งที่ว่าสภาวะสัมมาสมาธิยกขึ้นวิปัสสนา สวะคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสวะ

เรื่องของกาย เราเกิดมา เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเด็ก มันต้องพัฒนาขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้เฒ่า สิ่งนี้ชั่วคราว “กาย เวทนา” เวทนาก็เหมือนกันสิ่งนี้ไม่คงที่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าทิ้ง ต้นไม้ทั้งหมดปลูกลงบนดิน สภาวธรรมเกิดขึ้นมา สภาวธรรมเกิดขึ้นมาจากใจ ใจมันเกี่ยวข้องกับอะไรล่ะ? มันเกี่ยวข้องกับกาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งนี้เราถึงเอามาเป็นเหตุให้หัวใจนี้เข้าไปพิจารณาเพราะอะไร เพราะมันติดเราก่อน มันถึงไปติดข้างนอกไง มันติดร่างกายของเราก่อน มันติดในตัวตนของในหัวใจนี้ก่อน มันถึงออกไปยุ่งๆ กับข้างนอกใช่ไหม

ทีนี้ขณะที่มันสงบเข้ามามันเป็นโลกๆ สิ่งที่เป็นโลก โลกียปัญญาแล้วโลกุตตรปัญญามันจะเกิด ถ้าเราใช้โลกุตตรปัญญาขึ้นมานี่การวิปัสสนาเกิด มันเกิดจากภาคปฏิบัติเท่านั้น จะศึกษา จะจำมาขนาดไหน จะค้นคว้าอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ามันเป็นโลกียปัญญามันก็จะเป็นโลกียปัญญาอย่างนั้นตลอดไป แต่ถ้ามันวิปัสสนาเข้ามา ขณะวิปัสสนาเข้ามามันจะเริ่มขึ้นมา เริ่มขึ้นมาระหว่างร่วมทุน ระหว่างกิเลสกับธรรม เพราะมันเริ่มปล่อยวาง ปล่อยวางก่อน

เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญา เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ สิ่งนี้ไม่ใช่ ย้อนกลับมา แล้วอาสวักขยญาณ นี้เป็นขิปปาภิญญา แม้แต่พาหิยะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แต่ตรัสรู้ธรรมนั้นเป็นขิปปาภิญญา สาวกะ-สาวก เวไนยสัตว์นี้ ต้องเดินเป็นบุคคล ๘ จำพวก โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค อรหัตตมรรคขึ้นไป สิ่งที่อรหัตตมรรคขึ้นไป สิ่งนี้ถ้าทำได้ก็เป็นบุญวาสนามหาศาลแล้ว ถ้าเราก้าวเดินตามธรรมนะ ตามตั้งแต่การร่วมทุนระหว่างกิเลสกับธรรม ต้องส่งเสริมกันขึ้นมา เพราะเรามีกิเลส

ระหว่างกิเลสในหัวใจเรามองไม่เห็นมันเลย สิ่งที่เป็นสวะปกคลุมหัวใจอยู่นี้เรามองไม่เห็น เราเห็นแต่สวะทั้งนั้นนะ สิ่งที่เป็นสวะมันก็เอาแต่ความเป็นโลกๆ มาให้กับหัวใจนั้น การประพฤติปฏิบัติมันก็ประพฤติปฏิบัติทางโลกๆ การแหวกออกมาก็เป็นแหวกสวะออกไป มันก็เห็นแค่สภาวะความสัมมาสมาธิ พอสมาธิเดี๋ยวสวะนั้นก็ปกคลุมหัวใจโดยธรรมชาติของมัน สิ่งนี้เราถึงต้องพยายามจับมันให้ได้ จับสิ่งนี้โยนขึ้นไปบนฝั่ง

สวะนี้เขาเอาไปทำนะ เดี๋ยวนี้เขาทำสินค้าหนึ่งตำบล เขาเอาสิ่งนี้มาสานเป็นตะกร้า สานเป็นกระเป๋า สานเป็นประโยชน์ของเขาขึ้นมา ถ้าเราสามารถวิปัสสนากายได้ มันก็จะเป็นสภาวะแบบนี้ไง กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมากับหัวใจ สิ่งที่เป็นโลกียะ โลกุตตระ มันเป็นประโยชน์ แต่ระหว่างที่มันเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์เพราะเราไม่มีสัมมาสมาธิ เราไม่มีจิตตั้งมั่น เราไม่มีปัญญาจับสิ่งนี้มาใช้ประโยชน์ สิ่งนี้จะเป็นโทษ

สิ่งที่เป็นโทษ ปัญญาที่ว่าปัญญาที่แข่งขันกันทางปัญญา แข่งขันกันทางโลก แต่ถ้าแข่งขันกันทางปัญญา ในการที่ว่าระหว่างร่วมทุนระหว่างกิเลสกับธรรม ถ้ามีธรรมแทรกเข้ามาในสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ ถ้ามีการร่วมทุนเมื่อไรมันจะเริ่มเข้าถูกทาง เพราะเรายังทำของเราไม่ได้ มันจะถูกทางขึ้นมา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา นี่เป็นตทังคปหาน

สิ่งที่มันปหานชั่วคราวนี้มันปหานแล้วมันไม่ขาด สิ่งที่ไม่ขาดนี้มันจะย้อนกลับได้ สิ่งที่ย้อนกลับได้ ขณะที่เรามีความศรัทธา เรามีความเชื่อ เรามีอำนาจวาสนา สิ่งนี้เราจะก้าวเดินต่อไปได้ แต่ถ้าเมื่อเราอ่อนแอล่ะ คนเรามันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปได้อย่างไร

จนขณะที่อภิธรรมเขาบอกเลย ในการประพฤติปฏิบัติของพระป่า พระป่านี้ประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก การประพฤติปฏิบัตินั้นจะเป็นธรรมไปไม่ได้ เห็นไหม เขาบอกว่าเป็นธรรมไปไม่ได้ เพราะปฏิบัติโดยตัณหาความทะยานอยาก

แต่ในการประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นเป็นผู้ค้นคว้า หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ค้นคว้าสิ่งนี้มา สิ่งนี้หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านก็ทุกข์ของท่าน ท่านก็อยากพ้นทุกข์ของท่าน ท่านอยากพ้นทุกข์ ท่านอยากพ้นจากกิเลส ท่านก็แสวงหาของท่าน สิ่งนี้เป็นตัณหาความทะยานอยากหรือ คนอยากพ้นทุกข์ คนอยากทำคุณงามความดีเป็นตัณหาความทะยานอยากหรือ?

มันเป็นมรรค แต่คนไม่เข้าใจว่าการทำคุณงามความดีนี้มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ไม่ให้ติดดี แต่ไม่ติดดีเราจะเอาอะไรก้าวเดินไป มันต้องติดดีไปก่อน เอาสิ่งที่เป็นคุณงามความดีติดดีไปก่อน มันถึงเป็นการร่วมทุนระหว่างกิเลสกับธรรม

ถ้ามีการร่วมทุนระหว่างกิเลสกับธรรม มันยังเป็นการก้าวเดินที่เราพัฒนาขึ้นมานะ ถ้ามีการร่วมทุนกันอย่างนี้ แล้ววิปัสสนาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า การร่วมทุน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าบุคลาธิษฐานให้เห็นสภาวะที่ว่าระหว่างที่การประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะเห็นว่าสิ่งนี้จะเป็นการก้าวเดินของใจที่มันพัฒนาขึ้นมา มันถึงไม่ใช่สิ่งที่แค่เปิดสวะออกจากใจแล้วว่าสิ่งนี้เป็นธรรมหรอก

มันมีจังหวะของมัน มันมีสิ่งที่ว่าสิ่งที่จิตนี้มันพัฒนาของมันขึ้นมา ถ้าสิ่งนี้พัฒนาขึ้นมา ระหว่างร่วมทุนก็ต้องร่วมทุนกันไปก่อน ถ้าร่วมทุนกันไปก่อนนะ ถ้ามีครูอาจารย์คอยชี้นำนะ ระหว่างกิเลสกับธรรมที่มันปล่อยวางกัน มันปล่อยวางชั่วคราวเท่านั้น ถ้ามีความประมาท ถ้าอำนาจวาสนาของเราไม่พอมันจะเสื่อม พอสิ่งที่มันเสื่อมมันจะถดถอยออกมา มันจะท้อถอยออกมา แล้วเวลาจิตมันคลายออกมาจะมีความทุกข์มาก

ความทุกข์ของการประพฤติปฏิบัติ ความทุกข์ของโลกนี้เขาเป็นความทุกข์อันหนึ่ง เพราะทุกข์ของเขาทุกข์โดยความยอมจำนน เพราะเขาไม่สามารถจะชำระกิเลสได้ เขาไม่สามารถจะต่อสู้ได้ ก็ยอมแพ้ยอมจำนนไป ยอมจำนนไปอย่างนั้น แต่ความทุกข์ของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนระหว่างมีการร่วมทุน คือจิตมันเริ่มวิปัสสนาแล้วมันเสื่อมลงมานี่เป็นความทุกข์ของผู้ที่เข้าไปเห็น เข้าไปเห็นช่องทาง แล้วช่องทางนั้นปิดไป มันมีความทุกข์มาก

สิ่งที่มีความทุกข์มาก สิ่งที่ความทุกข์มากมันถึงต้องพยายาม...จิตเสื่อม การแก้จิตเสื่อมมันถึงต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นจากศรัทธาความเชื่อ เริ่มต้นจากจริตนิสัย เริ่มต้นจากกำลังใจของเรา เราจะเทียบครูเทียบอาจารย์ เทียบครูเทียบอาจารย์นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์อยู่ ๖ ปีเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมอยู่ ๖ ปี ไปปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ ทุกข์มหาศาลขนาดไหนท่านก็ยังบุกบั่นมานะของท่าน ครูบาอาจารย์ของเราหาอาจารย์ไม่ได้พยายามค้นคว้าของท่านมาเองอย่างนี้ เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเทคโนโลยีอยู่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่า มรรค ๔ ผล ๔ ให้ก้าวเดิน แต่เดินอย่างไร

เพราะมันมีแต่พิมพ์เขียว แต่ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีสิ่งใดเลย แล้วพิมพ์เขียวสร้างมาจากไหน โลกเขาหาสมบัติกัน เขาหาสินค้ากัน เขาสั่งได้ เขาเอาพิมพ์เขียวนี้จะให้โรงงานไหนเขาผลิตให้ก็ได้ แต่ในการประพฤติปฏิบัติ มรรคญาณเกิดอย่างไร สัมมาสมาธิเกิดอย่างไร สิ่งใดเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา เกิดนิมิต เกิดความเห็น เกิดจิตปล่อยวางขึ้นมา มันมีแสงสว่างขึ้นมาเพราะมันสงบมาก สิ่งนี้เป็นธรรมแล้วหรือ นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะคอยเสี้ยม คอยทำสิ่งต่างๆ สิ่งอย่างนี้ออกมา

แล้วมันไม่ได้ร่วมทุนกับธรรมเลย ร่วมทุนกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมันเป็นขั้นของสัมมาสมาธิ ในขั้นของทำความสงบของใจไง ถ้ากิเลสมันมีอำนาจมากกว่านะ มันเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฟาดฟันเรานะ ฟาดฟันให้เราล้มลุกคลุกคลานว่าสิ่งนี้เป็นธรรม

ครูบาอาจารย์ล้มลุกคลุกคลานมหาศาลเลย สิ่งนี้ทำแล้วพอสงบแล้วมันก็คลาย แล้วมันก็ทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ นี่เสื่อมไปแล้วเป็นทุกข์ สิ่งนี้ไม่ใช่ วิปัสสนาไป ปล่อยวางขนาดไหนมันมีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา เวลามันคลายตัวออกมา สิ่งนี้มันยังมีอารมณ์ความรู้สึกแบบเดิม มันก็ไม่ใช่ ค้นคว้าเปรียบเทียบอยู่อย่างนี้เพราะไม่มีครูมีอาจารย์ ถึงต้องค้นคว้า ทั้งๆ ที่มีธรรมนะ ทั้งที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางอยู่อย่างนี้นะ ครูบาอาจารย์ต้องค้นคว้ามาขนาดนี้

แต่เรามีครูมีอาจารย์คอยชี้นำ เรามีครูมีอาจารย์นะ ชี้นำว่าสิ่งนี้เราเปรียบเทียบได้ ธรรมสิ่งที่เกิดขึ้นจากหัวใจของเรา มันมีกิเลสตัณหา มันมีการร่วมทุนมา สิ่งร่วมทุนเราก็ฝืนไป ฝืนไป แล้วถ้าเราถ่ายทอดเทคโนโลยี ถ่ายทอด เราร่วมทุนกับเขาเพื่อเราต้องการเทคโนโลยีจากเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อธรรมเข้ามาในหัวใจบ้างแล้ว มันปล่อยวางขนาดไหนเราต้องพยายามฝึกฝน พยายามหมั่นพิจารณาของเรา ถ้าเราพิจารณาของเรา เวลามันถดถอย มันท้อถอย นี่ทุนของเราน้อยนะ เรากลับไปสัมมาสมาธิ กลับไปพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ แหวกจอกแหวกแหนออกไป แหวกกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แหวกสวะออกไปจากใจ กำหนดพุทโธ พุทโธก็ได้ ขุดบ่อลงไปให้หาน้ำขึ้นมาให้ได้ พุทโธ พุทโธ พุทโธเหมือนการขุดบ่อขุดหาน้ำขึ้นมา

การขุดการกระทำ มันมีการขุดดินขึ้นมา การแหวกจอกแหนก็แหวกจอกแหนออกไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าให้กำลังเกิดขึ้นมา สิ่งนี้เป็นเริ่มต้นจากสัมมาสมาธิ เป็นเริ่มต้นจากทุนของเราเท่านั้น ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา อันนี้ต่างหาก สิ่งที่เป็นปัญญานี้มันถึงเป็นเทคโนโลยีขึ้นมา เพราะในหลักของศาสนาพุทธเรา ปัญญาเท่านั้นกิเลส

ในการประพฤติปฏิบัติ ในการนับถือศาสนา ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาผู้ที่มีปัญญา ในศาสนาพุทธนี้เป็นสิ่งที่ว่าจับต้องตรงไหนล่ะ มันมีหยาบ มีกลาง ละเอียด หยาบ กลาง ละเอียดขึ้นมา เริ่มจากทาน เริ่มจากรักษาศีล แล้วเวลาเรารักษาศีลขึ้นมา ศีลของใครบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ นี่มีการโต้แย้งกันมาตลอด สิ่งนี้โต้แย้งขึ้นมาทำไม เพราะสิ่งที่จิตที่มันพัฒนามันมีตั้งแต่หยาบขึ้นมา มันก็ละเอียดขึ้นไป สิ่งที่จิตพัฒนาเราก็สาธุการกับผู้ประพฤติปฏิบัตินั้น

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตมันเริ่มเข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้าเริ่มการวิปัสสนาขึ้นมามันก็มีการร่วมทุน สิ่งที่ร่วมทุนแล้วเราพยายามทำ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมันเป็นฝ่ายมรรค ถ้ามันเป็นฝ่ายมรรค เราร่วมทุน เราทำได้ของเราแล้ว เพราะมันเป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรคขึ้นมา ให้เป็นสภาวธรรมมากขึ้น วิปัสสนามันก็ปล่อย บ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ต้องมีการปล่อยบ่อยครั้งๆ ถึงที่สุด

ถ้าถึงที่สุดมันเป็นสภาวธรรม ถ้าเป็นสภาวธรรมมันจะมีตัวตน มีอุปาทานเข้าไปเจือจานสิ่งนี้ไม่ได้ ถ้ามีอุปาทาน มีตัวตนเข้าไปเจือจาน มรรคสามัคคีไม่ได้ ถ้ามรรคสามัคคีไม่ได้แล้วปัญญาของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นได้อย่าง ถ้าปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่เกิด ครูบาอาจารย์เราล้มลุกคลุกคลานมามหาศาลเลย เพื่อจะแสวงหาสิ่งนี้ พอแสวงหาสิ่งนี้มันปล่อยวางขนาดไหน พิสูจน์กันนี่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ คือว่ามันติดอยู่ในหัวใจ

เราประพฤติปฏิบัติ เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองนะ เราไม่หมั่นเทียบธรรม เทียบกับความรู้สึกของเรา เทียบกับของครูบาอาจารย์ ถ้ามีครูบาอาจารย์เราจะเปิดอกเลย สภาวธรรมมันเป็นสภาวะแบบนี้ ครูบาอาจารย์จะชี้นำ เพราะครูบาอาจารย์เคยผ่านมาก่อน สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่อยู่ในหัวใจ มันลึกลับมหัศจรรย์มหาศาลนะ มันหลอกลวง มันปลิ้นปล้อน มันสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เราหลงผิดไปได้

เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ที่ไม่มีธรรมในหัวใจ จะอาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพิจารณากาย เราก็พิจารณากาย พิจารณากายโดยสวะ โดยสัญญาอารมณ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กิเลสตัณหาความทะยานอยากเอาสิ่งนี้มาหลอกใช้ สิ่งที่หลอกใช้เราก็สร้างภาพ โดยเกิดจากสัญญา เกิดจากสังขาร เกิดจากสัญญา เกิดจากสังขารนี่ก็การพิจารณากาย นี่โลกียปัญญา

ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ถ้าไม่แหวกจอกแหวกแหน ถ้าไม่ขุดบ่อหาน้ำขึ้นมา มันจะเป็นโลกียปัญญา สิ่งที่เป็นโลกียปัญญา ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีหลักเกณฑ์ก็จะเอาสิ่งนี้มาบอกว่านั่นพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม มันก็พิจารณากายโดยสวะ โดยขันธ์ ๕ โดยความมั่นหมาย โดยสัญญาอารมณ์ ถ้าพิจารณาโดยสัญญาอารมณ์มันก็ปล่อย ปล่อยเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเอาสิ่งนี้มาหลอก เอามาหลอกลวง แล้วมันปล่อยขึ้นมา ปล่อยด้วยอะไร

ทำไมโลกเขาเป็นไปได้ล่ะ ทำไมนักประพันธ์ เขาคิดของเขา นักวิทยาศาสตร์เขาจินตนาการของเขา นักวิทยาศาสตร์เขาทดลองทางวิทยาศาสตร์นะ เขายังเป็นประโยชน์กับโลกมากเลย เขาคิดเครื่องยนต์กลไกต่างๆ มา เป็นประโยชน์ของโลกเขา แต่เราคิดโดยสภาวธรรมแล้วหลอกตัวเองนะ สภาวะอย่างนี้เป็นสภาวธรรม แล้วสถาปนาธรรมกันนะว่าสิ่งนี้เป็นธรรมของคนโน้น สิ่งนี้เป็นธรรมของคนนี้

นี่กิเลสหลอกตัวเองก็ไม่รู้ กิเลสหลอกหมู่คณะสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติในสังคมนี้ก็ไม่รู้ สิ่งนี้ไม่รู้หมดเลยเพราะอะไร เพราะมันเป็นโลกียะ เพราะมันเป็นเรื่องของกิเลส มันไม่มีการร่วมทุน มันไม่มีการทำความสงบของใจ ถ้าความสงบของใจเข้ามา ถ้าติดในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็นอนจมอยู่นั่น นอนจมรอวันเสื่อมเหมือนกัน

แต่ถ้าเราเริ่มจากวิปัสสนาขึ้นมา วิปัสสนาขนาดไหน วิปัสสนามันก็ปล่อยๆ ถึงที่สุด ถึงที่สุดเวลาที่ว่าเป็นธรรมขึ้นมานี่มันไม่มีตัวตน มันไม่มีความเป็นไปของใจ ไม่มีอุปาทาน พิจารณากายมันปล่อยขนาดไหน การพิจารณากาย การปล่อยของมัน มันจะเห็นสภาวะของมัน

อยู่ที่อำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันจะปล่อยขนาดไหนมันเป็นสภาวะของมัน เป็นสภาวะของมันนะ ไม่มีสิ่งใดต้องให้สภาวะเหมือน ต้องให้เป็นไปแบบของครูบาอาจารย์ทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ว่าอำนาจวาสนาของใจต่างกัน วิปัสสนาบุญกุศลต่างกัน สิ่งที่ต่างกันนี้ถึงให้เป็นปัจจุบันธรรม ต้องเป็นปัจจุบันธรรม จะเกิดสภาวะแบบไหนให้เกิดเดี๋ยวนี้ เกิดในซึ่งๆ หน้านี้ เกิดในปัจจุบันนี้ กิเลสจะแก้กันตรงนี้

แต่ถ้าย้อนอดีตเป็นของครูบาอาจารย์ เป็นพระไตรปิฎก เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เราเปรียบเทียบแล้วนะ นี่มันจะโกงแล้ว การร่วมทุน สิ่งต่างๆ ในการประพฤติปฏิบัติ ในการร่วมทุน ถ้าผู้ร่วมทุนนั้นเขามีการทุจริตกัน เขาจะโกงนะ เขาจะยึดบริษัทนั้นเลย เขายึดโรงงานนั้นเป็นของเขา แล้วเราจะเสียเปรียบเขาเพราะเราไม่ทันเขา

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมีสภาวะแบบนั้นนะ เราควรจะเป็นไป เราควรจะเจริญเติบโตของเราขึ้นมา มันจะเป็นธรรมที่จะแก่กล้าขึ้นมาในหัวใจของเรา เราก็ไปเชื่อกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสเท่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน กิเลสเท่านั้นนะ กิเลสในหัวใจเท่านั้น ไม่มีใครสามารถจะรังแก ไม่มีใครสามารถจะทำให้ธรรมของเราเสื่อมถอยหรือมีความเป็นไปได้ ถ้าไม่ใช่กิเลสของเราในหัวใจของเรา

เราถึงจะต้องมุมานะ อำนาจวาสนาของเรามีเท่านี้ เราต้องทำของเรา อำนาจวาสนาของครูบาอาจารย์ อำนาจวาสนาของหมู่คณะเขาทำของเขาได้ขนาดไหนมันเป็นอำนาจวาสนาของเขา เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราต้องดูหัวใจของเรา แล้วเราวิปัสสนาของเราเข้ามา ไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไปฉ้อโกง ถ้ามีการร่วมทุนแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากฉ้อโกง เห็นไหม ธรรมเราก็จะเสื่อมถอยลง เสื่อมถอยลง แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลาน

แต่ถ้าเป็นสภาวธรรมขึ้นมา กิเลสมันยุบยอบตัวลง เพราะวิปัสสนามันปล่อยวางขนาดไหนนะ กิเลสจะเบาลง เบาลง เบาลงถ้าไม่มีสิ่งที่เป็นสภาวธรรมโดยบริสุทธิ์ สิ่งที่เป็นสภาวธรรมโดยบริสุทธิ์ ขณะที่มรรคสามัคคี ธรรมจักรมันหมุนไปอย่างนี้ มันจะเป็นคุณค่าของธรรมจักร สิ่งนี้เป็นธรรม ธรรมนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมนี้เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติมีอยู่แล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเห็นสภาวธรรมนี้เท่านั้น เห็นสภาวธรรมนี้ แล้วมันเกิดขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สภาวธรรมเกิดขึ้นมา มันสมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหานในเรื่องสภาวะกายที่เราซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอซ้ำแล้วกิเลสมันอ่อนตัวลง อ่อนตัวลง ถึงที่สุดถ้ามีอำนาจวาสนามันจะปล่อย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ สิ่งนี้มันจะหลุดออกไปจากใจ

ถ้ามีความหลุดออกไปจากใจโดยการวิปัสสนาญาณ กาย เวทนา จิต ธรรม ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันถึงที่สุด นี้ต่างหากถึงเป็นธรรม สภาวธรรมอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากในหัวใจ แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากอย่างละเอียดล่ะ อวิชชายังอยู่หัวใจนั้น สิ่งนี้เป็นการก้าวเดิน สิ่งที่สภาวธรรมจะเกิด เกิดอย่างนี้

เราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมเห็นการเป็นไปของการเอาสวะออก เห็นการกระทำของการเอาสวะนี้ไปป้อนโรงงาน เห็นการทำการของโรงงาน เห็นสินค้าออกมาจากโรงงาน เห็นการกระทำเอาสินค้านี้ออกไปท้องตลาด ต้องมีการออกไปท้องตลาดจนถึงเกิดผลประโยชน์ขึ้นมา นี้เป็นโรงงานทางโลกนะ นี่โลกียปัญญา เพียงแต่เทียบกลับมาในธรรม

ในธรรมที่คือขณะที่ประพฤติปฏิบัติในกาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเรามีหลักเกณฑ์อันนี้ ถ้ามีธรรมในหัวใจนะ สภาวธรรมนี้โดยหลัก เราจะเปรียบเทียบกับอะไรก็ได้ เปรียบเทียบออกมาเป็นสภาวธรรม ถ้าเปรียบเทียบออกมาเป็นสภาวธรรมนี้คือการแสดงธรรม ถ้าการแสดงธรรม ธรรมจากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง นี่ผู้ที่มีธรรมโดยสภาวะแบบนี้

พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน พระอานนท์สั่งสอนสาวกะ-สาวก สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหายังสั่งสอนได้เลย สั่งสอนให้มีศรัทธามีความเชื่อ แต่เวลาธรรมสูงขึ้นมา ต้องให้พระกัสสปะเป็นผู้ชี้นำ พระกัสสปะถือธุดงควัตร พระกัสสปะเป็นผู้ที่มีปัญญามาก พระกัสสปะเป็นผู้ที่ทำลายกิเลส อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างละเอียดสุดในหัวใจออกไปจากหัวใจ

แล้วเราการก้าวเดินขึ้นไปมันถึงจะมีงานต่อไปภายภาคหน้า ถ้ามีงานต่อไป การก้าวเดินของจิตมันต้องมีงานของเขา ถ้ามีงานของเขา กิเลสตัณหาความทะยานนะ ในพิจารณากายกับจิตมันเกี่ยวมันไป ถ้ามีพื้นฐาน มีสิ่งที่กระทบ สิ่งที่มีพื้นฐาน สิ่งที่มากระทบมันจะออกไปแสวงหาเหยื่อ สิ่งที่แสวงหาเหยื่อ เหยื่อคืออะไรล่ะ? รูป รส กลิ่น เสียง เหยื่อคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามันมีความหลงมันมีอำนาจมีอยากใหญ่อยากยึดอำนาจ สิ่งนี้ยังมีอยู่นะ ถ้าสภาวธรรมอย่างนี้มีอยู่ สิ่งนี้มันเป็นอะไรล่ะ? สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ออกไปข้างนอก แต่ผู้ที่มีธรรมในหัวใจจะย้อนเข้ามาทำลายตรงนี้

สิ่งที่เราเห็นสภาวธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม ออกไปโดยธรรมชาติของเขา สิ่งนี้มันเป็นคุณธรรมแล้ว สิ่งที่เป็นคุณธรรมแล้ว สิ่งที่มันมีสติสัมปชัญญะมันจะกระเพื่อมสิ่งนี้ ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานมันแก่กล้าขึ้นมามันจะออกไปสภาวะยึดอย่างนั้น แต่ถ้าเรามีธรรมในหัวใจสิ่งนี้มันจะต่อต้าน ต่อต้านกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ในความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันสิ่งที่มันเป็นฟืนเป็นไฟที่จะทำให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันฟูขึ้นมา แล้วเราจะทำลายมัน เราจะไปส่งเสริมสิ่งนี้ได้อย่างไรล่ะ ถ้ามีพื้นฐานแล้วจะทำสิ่งนี้ไม่ได้เลย มันจะต่อต้านกับสิ่งนี้ แล้วมันจะย้อนทำลายกลับเข้ามา เพราะมันจะต้องกด กดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้มันเบาตัวลง

สิ่งที่เบาตัวลง มันจะเกิดสกิทาคามรรค สิ่งที่จะเกิดสกิทาคามรรคขึ้นมามันต้องมีพื้นฐานของสัมมาสมาธิ พื้นฐานของสกิทาคามรรค สิ่งที่สกิทาคามรรค เราถึงต้องทำความสงบของใจขึ้นมา แล้วย้อนกลับขึ้นไป ย้อนกลับขึ้นไปถึงที่สุดนะ ถ้าย้อนกลับเข้าไปทำลายกัน ทำลายกัน โรงงานมันจะมีการกระทำของมันตลอดไป สินค้าต้องมีออกไปตลอด นี่คือสินค้า นี่คือเรื่องของโลกที่เขาต่อสู้กัน เขาจะต้องต่อสู้กันด้วยความรู้ความเข้าใจของเขาเพื่อจะยึด ยึดเอากำไร ยึดเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลก

แต่ถ้าเป็นการประพฤติปฏิบัติมันจะการสละ มันจะทำลาย ทำลายสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งนี้เราได้สละออกมากขนาดไหน สิ่งที่เรามันเป็นความเห็นแก่ตัว เราได้ปลดเปลื้องมันมากขนาดไหน มีสิ่งใดมีคุณธรรม สิ่งใดที่เราเจือจานหมู่คณะเราส่งเสริมเขา เราจะเจือจานคนอื่น เจือจานคนอื่นเพื่ออะไร? เพื่อจะให้สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติมันง่ายขึ้นมา ง่ายขึ้นมา เพราะสิ่งนี้เป็นบุญ เป็นกุศล

สิ่งที่เป็นบุญกุศล สิ่งนี้เป็นบุญ เห็นไหม คุณงามความดี คุณงามความดีจะขับเคลื่อนใจดวงนี้ให้มันประเสริฐขึ้นมา ถ้าเรามีสิ่งใดฝังหัวใจอยู่ สิ่งใดที่มันเป็นอะไรฝังใจอยู่ แล้วสิ่งนี้เวลามันสิ่งนี้มันโดนกระทบกระเทือน มันจะเกิดความฟูขึ้นมาในหัวใจ ถ้าเราสละสิ่งนี้ออกไป ความสิ่งที่เป็นความฝังใจอยู่มันเบาลง สิ่งที่มีความฝังใจ สิ่งที่มีความยึดมั่นถือมั่นของใจมันจะเบาลง สิ่งที่เบาลง เบาลงเพราะมันเปิดทางกว้างให้กับการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเปิดทางกว้างขึ้นมา สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา

“ศีล สมาธิ ปัญญา”

ศีลนี้เป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีลธรรม ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา สิ่งที่เป็นศีลเป็นธรรม เราจะย้อนกลับเข้ามาต้องย้อนกลับเข้ามาจับความผิดของเรา ถ้าสิ่งนี้มันมีอยู่ในหัวใจของเรา ถ้าเรามีพื้นฐานอันนี้อยู่ สิ่งนี้ถ้าเราเอาไปเปรียบเทียบคนอื่นมันเป็นเรื่องของคนอื่นแล้วเราเอากฎหมาย เอาศีลธรรมออกไปเปรียบเทียบคนอื่นทำไม แต่ถ้าเราเปรียบเทียบเรา นี่คือประโยชน์ของเรา

ถ้าประโยชน์ของเรา ธรรมเราบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ ธรรมเราบริสุทธิ์ขึ้นมาเราจะย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาที่เรา สิ่งที่มันเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งที่มันเป็นปมในหัวใจที่มันมีปัญหาอยู่ สิ่งที่มีปัญหา ปัญหามีแน่นอน เพียงแต่เราไม่เห็น เราไม่ค้นคว้าปัญหาของเรา

ถ้าเราค้นคว้าปัญหาของเรา ๑. เราค้นคว้าไม่ได้เพราะเราอำนาจวาสนาน้อย ถ้าเราค้นคว้าไม่ได้ เรามีวาสนาน้อย เรามีความมุมานะ สิ่งที่เป็นความมุมานะของเรา อันนี้มันจะเป็นสิ่งที่เสริมสร้างบารมี

บารมีเกิดมาจากไหน?

บารมีเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา บารมีเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ

ในการประพฤติปฏิบัติ ในการขัดเกลา ดูสิ เขาไปซื้อเพชรซื้อพลอยมาจากต่างประเทศ เขามาเผา เขามาทำให้น้ำมันงามขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราขัดเกลาใจของเรา น้ำมันจะงามขึ้นมานะ ความใสความสะอาดขึ้นมา ความใสอย่างนี้ใสชั่วคราว ความใสอย่างนี้ใสขึ้นมาจากกิเลสมันยุบยอบตัวลง มันไม่มีการชำระ ไม่มีการประหัตประหารกัน มันจะเป็นความจริงไปไม่ได้

ถ้ามันจะเป็นความจริงขึ้นมามันต้องประหัตประหารกัน สิ่งที่ประหัตประหาร ประหัตประหารที่ไหน? ประหัตประหารที่ใจมันไปติด สิ่งที่กายกับจิตมันมีกาย เวทนา จิต ธรรมนี้เป็นสิ่งที่เป็นก้าวเดินของใจ ใจมันจะก้าวเดินออกระหว่างขันธ์ ๕ กับกายอย่างกลาง กายอย่างกลางถ้าเราจับกายได้ สิ่งนี้มันจะเป็นกายจากภายใน วิปัสสนาไปมันจะทำลายกัน มันจะเกิดเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ มันจะเกิดเป็นสภาวะของมัน มันจะกลับไปสภาวะเดิมของมัน

ถ้าเราพิจารณาเป็นจิต จิตคือขันธ์อย่างกลาง มันไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้ เราจะสามารถวิปัสสนาได้ ถ้าจับต้องไม่ได้ ความร่วมทุนไม่มี ถ้าความร่วมทุนไม่มีเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าความร่วมทุนเพราะอะไร เพราะมันมีแต่กิเลสล้วนๆ กิเลสล้วนๆ ก็เห็นแก่ตัวล้วนๆ กิเลสล้วนๆ ก็หลอกตัวเองล้วนๆ

แต่ถ้าเป็นสภาวธรรมเกิดขึ้นมา สภาวธรรมจะเริ่มเบียดเบียนกิเลส เริ่มเบียดเบียนกิเลสให้กิเลสมันถอยฉากออกไป กิเลสจะเริ่มเบาลง เบาลง สิ่งที่กิเลสเบาลงเพราะมันวิปัสสนาบ่อยครั้งเข้า เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากคือความยึดมั่นถือมั่น

งานของโลกเขา เขาต้องมีผลงานของเขา สิ่งนั้นเป็นผลงานของเขานะ งานของโลก ทางวิชาการก็ต้องมีวิชาการมาอวดกันว่าดำเนินการวิชาการอย่างนี้ วิชาการอย่างนี้จะเป็นประโยชน์กับโลกมหาศาล ทั้งๆ ที่ยังไม่พิสูจน์นะ

แต่ถ้าเป็นธรรมของเรานะ มันเป็นปัจจัตตังเดี๋ยวนี้ การวิปัสสนาของเรามันปล่อยวางเดี๋ยวนี้ ปล่อยวางใครจะรู้ว่าจิตดวงนี้ปล่อยวาง ใครจะรู้กับจิตของเรา แต่เทวดาฟ้าดินรู้นะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ มาสาธุการได้ในการประพฤติปฏิบัติ “สาธุการ” เพราะอะไร เพราะเหมือนกับผู้ที่จรรโลงศาสนา ศาสนาเกิดที่หัวใจ ศาสนาเกิดจากหัวใจที่ได้สัมผัส ศาสนาคือเรื่องของนามธรรม

สิ่งที่เป็นวัตถุ ศาสนวัตถุนี้เกิดจากหัวใจของผู้ที่มีธรรม เกิดจากศรัทธา เขาศรัทธาในตัวศาสนา แล้วในตัวศาสนาอยู่ที่ไหนล่ะ ในตัวศาสนาอยู่ที่พระไตรปิฎกหรือ อยู่ในตู้คัมภีร์หรือ สิ่งนี้เป็นแผนที่เครื่องดำเนินเท่านั้น สิ่งนี้ไม่มีชีวิตนะ แต่ความรู้สึกนี้มีชีวิต ความรู้สึก แม้แต่ตัวจิตธาตุรู้ก็มีชีวิต ถึงที่สุดในหัวใจก็มีชีวิต

แต่ชีวิตนี้มันโดนปกครองด้วยอวิชชา ชีวิตนี้โดนปกครองด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเราย้อนกลับเข้าไป มรรคเกิดขึ้นมาสภาวะแบบนี้ เริ่มเข้าไป มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความเห็นจากภายใน มันถึงเป็นความลึกลับ ธรรมเหนือโลก เหนือโลกอย่างนี้ ธรรมเหนือโลกคือสภาวธรรมที่โลกนี้เขาไม่มี จะวิปัสสนาขนาดไหนเขาก็ไม่มี

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทำไมพรหมต้องนิมนต์ล่ะ พรหมอยากฟัง ครูบาอาจารย์อยากฟัง ปัญจวัคคีย์รอ รอแล้วรอเล่า รออุปัฏฐากอยู่ ๖ ปีเพื่อต้องการให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมเพื่อสั่งสอน เพื่อเปิดทางให้ปัญจวัคคีย์ได้ก้าวเดินตามบ้างไง

สภาวะแบบนี้มันมีสภาวะแบบนั้น สภาวะแบบที่ว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศตัวออกมา แล้วเราเกิดขึ้นมาในหัวใจไหม ถ้ามันเกิดขึ้นมาในหัวใจ สภาวะขึ้นมาในหัวใจ มันประกาศขึ้นมา มันทำปฏิกิริยากัน เวลามรรคเวลามันรวมตัว เวลาธรรมเกิดขึ้น เวลาธรรมเข้มแข็งขึ้นมา กิเลสมันยุบยอบตัวลง กิเลสมันอ่อนตัวลง นี่มันมีความสุขนะ วิปัสสนาไป เหมือนกับการงานที่โลกเขาทำธุรกิจของเขาแล้วเขาได้กำไรมหาศาลเลย ถ้าคนทำธุรกิจนะ มีแต่ขาดทุน ขาดทุน มีแต่ความถ้อถอยน้อยเนื้อต่ำใจนะ แต่ถ้าคนทำธุรกิจแล้วกำไรมหาศาล ทุกคนก็อยากทำ นี่เรื่องของโลกนะ

แต่ในการประพฤติปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันวิปัสสนาไปแล้วมันปล่อยวางว่างขนาดไหน เหมือนกับเราทำแล้วได้ผลงานของเราขึ้นมา มันจะมีความสุข มันจะมีความองอาจกล้าหาญ ตัวจะเบามากปล่อยวางขนาดไหน กิเลส มันเห็นชัดๆ แล้วว่ามันจางลง จางลงนะ เวลากิเลสมันข่มขี่เราเราไม่เห็นมันเลยเพราะเราไม่มีสภาวธรรมเข้าไปจับ เราไม่มีสภาวธรรมอันละเอียดเข้าไปใคร่ครวญมัน

แต่ขณะที่เรามีธรรม ธรรมที่ละเอียดขึ้นมา เราสามารถเข้าไปทำลาย นี่กิเลสมันจะเริ่มอ่อนตัวลง อ่อนตัวลง เราถึงวิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงที่สุดมันจะปล่อยของมันโดยสัจจะของมัน กายกับจิตแยกออกจากกันโดยสัจจะความจริง สิ่งที่สัจจะความจริงแยกออกจากกันเพราะอะไร

เพราะมรรคญาณมันเกิด เพราะสิ่งที่เป็นสภาวธรรมเกิดขึ้นมา นี่มันมีเหตุมีผลของมัน มันไม่เกิดมาลอยๆ หรอก สิ่งที่เกิดมาลอยๆ เป็นไปไม่ได้ ถ้าจิตไม่เห็นการกระทำอย่างนี้ จิตไม่มีการปล่อยวางอย่างนี้ มันก็เป็นพระโสดาบันมันก็ติดอยู่อย่างนั้นล่ะ แต่ถ้ามันมีการกระทำอย่างนี้ มันปล่อยว่างขึ้นมาอย่างนี้ มันปล่อยวางอย่างนี้

อย่างนี้อย่างไหนล่ะ? อย่างนี้คืออย่างที่ว่าแล้วแต่จริตนิสัย จริตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่มีอำนาจวาสนามันต้องก้าวเดินนะ ก้าวเดิน จิตนี้ก้าวเดินไป ระหว่างจิตที่มันก้าวเดินไป มันจะเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ ถ้าเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ ลึกลับมหัศจรรย์สำหรับผู้ที่มีกิเลส

แต่จะไม่ลึกลับกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นจะเห็นสัจจะตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นสัจจะตามความเป็นจริง ปัญญาที่รู้แจ้งไม่มี ปัญญารู้เท่า แค่ปัญญารู้เท่าทำให้สงบเท่านั้น ปัญญารู้เท่ามันเป็นปัญญาของโลกนะ แต่ปัญญารู้จริง ปัญญารู้แจ้งมันเป็นปัญญาของธรรม ถ้าปัญญาของธรรมเกิดขึ้นมาสภาวะแบบนี้มันถึงเป็นภาวนามยปัญญา

ปัญญาของธรรมเกิดขึ้นมาแล้วมันสมุจเฉทปหาน มันทำลายขึ้นมาอย่างนี้ กายกับจิตแยกออกจากกัน ปัญญาอย่างนี้ต่างหากถึงเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาเหนือโลก เป็นปัญญาของโลกที่เขามองไม่เห็นกัน โลกเขาถึงคร่ำครวญ เขาถึงเพ้อรำพันกันว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา สิ่งนี้เป็นปัญญา ปัญญาของเขาถึงเป็นปัญญาโลกียปัญญา ที่เขาพร่ำเพ้อนะ แล้วเขายังยึดของเขาว่าสิ่งนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้

สิ่งที่เป็นปัญญาทางธรรมก็พิสูจน์ได้ แต่พิสูจน์ได้สำหรับผู้ที่เห็นจริง พิสูจน์ได้จากผู้ที่เห็นจริง เพราะความเห็นจริงอันนั้นมันจะเกิดสภาวะปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมา แล้วปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมา ถึงจะเป็นสภาวะตามความเป็นจริงของใจดวงนั้น ยกขึ้นวิปัสสนาต่อไปนะ ต้องก้าวเดินต่อไปจนถึงที่สุดนะ ถ้าไม่ก้าวเดินต่อไปมันก็คาอยู่อย่างนั้น

แล้วถึงว่า ขุดบ่อเจอน้ำ แหวกสวะแล้วเห็นธรรม

จะเห็นธรรมได้อย่างไรในเมื่อกิเลสอันอย่างละเอียด กิเลสอย่างกามราคะยังไม่เคยเห็นหน้ามัน ถ้าเห็นกิเลสกามราคะไม่เคยเห็นหน้ามัน สิ่งนี้เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงโดยสัจจะความจริง

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นก็ว่าละความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะละไปไหนในเมื่อมันกดขี่ไว้เฉยๆ เวลาจิตสำรวมระวังเป็นจริตนิสัยว่าให้เป็นผู้ที่นิ่มนวล เป็นผู้มีจริตนิสัยที่ว่าคุณงามความดี ประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีความสุข ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติเพื่อความเร่าร้อน สิ่งที่เป็นความเร่าร้อน นั่นเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นความร่มเย็นเป็นสุขนี้เป็นธรรมไง แล้วก็หมกไว้นะ หมกสิ่งนี้ไว้ในหัวใจ มันไม่เห็นสัจจะความจริงหรอก

ถ้าเห็นสัจจะความจริงมันต้องเข้าไปเผชิญหน้า ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ยกขึ้นไปตรงนี้มันจะไปเห็นกามราคะ สิ่งที่เป็นกามราคะเพราะใจนี้มันมีสิ่งพอใจตัวตนของมัน สิ่งที่เป็นกามฉันทะ เป็นปฏิฆะมีข้อมูลของมัน สิ่งที่มีข้อมูลของมัน มันสงวนมันรักษาข้อมูลอันนี้มาก สิ่งที่รักษาข้อมูล

แล้วใครไปสะกิดมัน...ไม่ต้องสะกิดหรอก แค่...เห็นวัวสันหลังหวะไหม เวลาอีกาบินผ่านมันเสียวสันหลังไปตลอดเลย นี่ก็เหมือนกัน แค่สภาวธรรมของครูบาอาจารย์แสดงเฉียดมาเท่านั้น มันก็หนาวแล้ว สิ่งที่มันปกปิดไว้ไง กลัว กลัวแต่เขาจะว่าเราไม่มีธรรม เราจะต้องใจเราเป็นธรรม ใจเราปล่อยวาง ใจเราเป็นความว่าง แล้วครูบาอาจารย์พูดถึงธรรม สภาวธรรม ถึงเทศนาว่าการจี้เข้าไปในหัวใจนั้น จี้เข้าไปที่ปฏิฆะ จี้เข้าไปสิ่งที่มันปกป้องข้อมูลอันนั้น ถ้ามันไปเข้าไปกระเทือนข้อมูลอันนั้น นี่มันก็เกิดความพอใจ

กามฉันทะสิ่งที่ความพอใจ สิ่งที่ข้อมูลนั้นถ้ามันกระเทือน มันก็เกิดความโกรธ ความโลภ ความหลง ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันเกิดจากตรงนี้ ถ้าไม่เข้าไปตรงนี้ เข้าไปเห็นสภาวะแบบนี้ มันไม่เห็นสภาวธรรมแบบนี้ มันจะไปแก้กิเลสได้อย่างไร ถ้ามันแก้กิเลสอย่างนี้ไม่ได้มันก็ติดอยู่กามภพ สิ่งที่กามภพถ้าเข้าไปทำลายตรงนี้

ทำลายด้วยวิธีการอะไรล่ะ? ถ้าทำลายด้วยวิธีการเริ่มตั้งแต่ทำความสงบให้มันละเอียดเข้าไป ความว่างนี้ต้องละเอียดเข้าไป สิ่งที่ละเอียดเข้าไปมันเป็นมหาสติ-มหาปัญญา มหาสติ-มหาปัญญา มหาสมาธิ สมาธิมันต้องแนบแน่นเข้ามา สิ่งที่แนบแน่นเข้ามา มันจะยกขึ้นวิปัสสนาอย่างไร นี่มันต้องมีขั้นตอนของมัน มันต้องมีการกระทำงานของมัน

ไม่ใช่ว่าแหวกจอกแหน แหวกจอกแหนแล้วมันจะเป็นสภาวธรรม สภาวธรรมการแหวกอย่างนั้นมันเป็นสวะ มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นความฟุ้งซ่านของใจ แต่กิริยาการกระทำของมันจากภายในขึ้นมามันเข้าไปชำระกิเลสอย่างไร มันทำลายอย่างไร จะขุดบ่อขนาดไหน จะขุดลึกขนาดไหน น้ำนี่มันก็แห้งได้ น้ำเวลาบ่อน้ำตื้นมันก็แห้ง

แต่ถ้าเป็นสภาวธรรมของมันนะ มันเป็นความจริงของเขา มันเป็นสภาวธรรมโดย เอโก ธัมโม สิ่งนี้มันเป็นความสุขตลอดไป มันไม่เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมหรอก สิ่งที่เจริญแล้วเสื่อมคือสิ่งที่มันไม่คงที่ สิ่งที่ไม่คงที่เพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี้เป็นสิ่งที่ชักจูงไป สิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันแปรสภาพ มันทำลายหัวใจ แต่ถ้าเราเข้าไปทำลายมัน ทำลายมัน การจะทำลายมัน มันจะต้องมีสัจจะ มีบารมี มีความเป็นไป มีปัญญาก้าวเดินออกไป

ถ้าก้าวเดินเข้าไป “ก้าวเดิน” ก้าวเดินเข้าไปในหัวใจ ก้าวเดินในการประพฤติปฏิบัติ เวลากองทัพกิเลสกับกองทัพธรรมมันต่อสู้กันนะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเห็นการสัมปยุตกันระหว่างธรรมกับกิเลสในหัวใจ ถ้ากิเลสกับธรรมในหัวใจ โรงงานมันละเอียดไปเรื่อยๆ โรงงานมันจะไม่เป็นโรงงานอย่างนั้นหรอก โรงงานในปัจจุบันนี้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวสามารถสั่งได้หมดเลย จะเอาอะไรก็ได้ โลกนี้เรามีคำสั่งไปที่ไหนก็ได้ เขาพริ้นท์ให้เราทั้งนั้นแหละ

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อความละเอียดมันขนาดนี้ กามฉันทะมันพอใจขนาดนั้น มันครอบคลุมใจอย่างนี้ สิ่งที่มันพอใจของมัน มันอุ่นกินในใจของมันนะ มันไม่ต้องออกไปแสวงหาเหยื่อจากภายนอกหรอก มันหาเหยื่อจากในหัวใจของมัน แล้วมันก็อุ่นกินของมัน ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมนะ มันรอวันตายนะ

แต่ถ้าเราพลิกไปเห็นหน้ามัน มันจะแสดงตัวของมันขึ้นมา สิ่งที่แสดงตัวของมันขึ้นมามันจะมีพลังงานขับเคลื่อน กิเลสที่รุนแรงที่สุดคือกิเลสเรื่องของกามราคะในหัวใจ มันจะรุนแรงมหาศาลเลย มันจะรุนแรงต่อเมื่อมันแสดงออกมา แสดงตัวออกมานะ แสดงตัวออกมาเพราะสติมันไม่พอ สติมันไม่ทัน พอแสดงตัวมันออกมา มันทำให้หัวใจล้มลุกคลุกคลาน

แล้วเวลาถ้าสติเราทันขึ้นมา เรามีการต่อสู้ขึ้นมา มันจะสร้างภาพนะ นี่คือธรรม นี่คือธรรม นี่คือสภาวะที่เราปล่อยวางแล้ว นี่คือสภาวะความสุข นี่เป็นสภาวธรรม

มันจะล้มลุกคลุกคลาน มันจะทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน มันจะมีการต่อสู้กันมหาศาลเลย กว่าที่มันจะทำให้จิตมันขาดออกจากกามราคะ มันจะมีการสัมปยุตกัน มีการต่อสู้กัน เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม แล้วล้มลุกคลุกคลานจนมหาศาลเลย มันไม่เป็นสิ่งที่มาง่ายๆ หรอก สิ่งที่มาง่ายๆ นั้นเป็นสภาวะแบบนั้น ทำไปถึงที่สุดแล้วมันจะเป็นไปเอง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าทำที่สุดมันเป็นไปเอง กิเลสมันก็เป็นไปเองสิ กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจมันก็มีความโต้แย้งมาตลอดไป

มันมีความโต้แย้งของกิเลส กามราคะเกิดในกามภพนี้มันก็โต้แย้งมาตลอดนะ โต้แย้งด้วย สร้างภาพทำให้หัวใจนี้ล้มลุกคลุกคลานด้วยแล้วมันจะเป็นไปเองได้อย่างไร มันจะต้องมีการต่อสู้ ต้องมีการสัมปยุตกัน ต้องมีการประหัตประหารกันอย่างมหาศาลเลย ปล่อยวางขนาดไหนก็ซ้ำๆ จนถึงที่สุดมันกลืนเข้าไปที่ใจนะ มันปล่อยไปที่ใจ มันไปหลุดกันที่ใจนะ

หลุดกันที่ใจเพราะใจมันพ้นออกมาจากกามราคะ สิ่งนี้เป็นว่างหมด โลกนี้เป็นความว่าง ความว่างของการแหวกจอกแหนอย่างหนึ่ง ความว่างของจิตที่มันปล่อยจากขันธ์ จากกามราคะมันเป็นความว่างอันหนึ่ง ความว่างอย่างนี้จะหาไม่เจอเลย ความว่างอย่างนี้ โลกนี้ว่างอยู่โดยธรรมชาติของเขา จิตนี้ปล่อยวางหมด มันมีมหาศาลเลย ว่างหมด โลกนี้ไม่มีอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเพราะอะไร เพราะตัวตน เพราะเรื่องของอวิชชา เรื่องของจิตนี้ เรื่องของพญามารนี้มันจะหลบซ่อนในใจดวงนี้ มันจะหลบซ่อนเพื่อจะไม่ให้ธรรมนี้เข้าไปทำลายมันนะ มันจะว่าสิ่งนี้เป็นสภาวธรรม นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากหลอกมาตั้งแต่เริ่มต้นนะ

หลอกไปถึงที่สุด แหวกจอกแหนขนาดไหนก็แล้วแต่ มันก็เห็นสภาวธรรม เห็นความสงบของใจ เพราะมันเบาจากกิเลส แต่เข้าไปถึงที่สุด ถึงเข้าไปถึงปล่อยวางทั้งหมดแล้ว จิตนี้เป็นอวิชชา เป็นความว่าง มันจะละเอียดอ่อนจนหามันไม่เจอ มันเป็นความว่าง มันเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก แล้วจะเอาอะไรสิ่งใดเข้าไปหามัน สิ่งที่เข้าไปหามัน จนถึงต้องมีครูบาอาจารย์ชี้นำ ๑ ต้องเราพิจารณาใคร่ครวญของเราว่า ความสว่าง ความว่างอย่างนี้ มันมีความเฉา มันมีความสะเทือนใจนะ

ความทุกข์อันละเอียด ความสุขอันละเอียด ดูสิ ความทุกข์ความละเอียดของมหาเศรษฐี เขามีเงินมหาศาลเลย เขาก็มีความลังเล มีความกังวลในสมบัติของเขา คนที่มีสมบัติมหาศาลนะ คนที่เป็นจักรพรรดิ คนที่เป็นมหาราชต่างๆ เขาก็มีความหงอยเหงาของเขา มีความเศร้าหมองของเขา

นี่เหมือนกัน ในเรื่องของหัวใจมันจะว่างขนาดไหน มันจะมีความสุขขนาดไหน มันจะปล่อยวางมาขนาดไหน มันจะต้องมีความผ่องใส มีความเศร้าหมองของมัน ถ้าสติสัมปชัญญะ สติอัตโนมัติเข้าไปจับตรงนี้ได้ ย้อนกลับเข้าไปจับตรงนี้ จับตรงนี้ได้นี่อาสวักขยญาณจะเกิด ถ้าอาสวักขยญาณจะเกิดตรงนี้ทำลายตรงนี้ขึ้นมา ทำลายจนพลิกคว่ำหมด

ครูบาอาจารย์ผู้ที่ผ่านมา มันมีขั้นตอนของการผ่าน ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่าในเมื่อเราขุดดิน ในเมื่อเราแหวกจอกแหน แหวกจอกแหนเห็นสภาวธรรมนี้เป็นเพียงแต่เอาเรื่องของผู้ใหญ่ไปสอนเด็ก ให้เด็กๆ มันรู้ว่าสิ่งนี้มันมีจริง สิ่งนี้ให้เด็กมันเข้าใจ สิ่งนี้ให้มันมีความองอาจกล้าหาญแล้วให้มันก้าวเดินเข้ามา แต่วิธีการที่จะไปขุดบ่อ วิธีการที่จะเข้าไปสภาวธรรม

สภาวธรรมที่สิ่งที่ว่าแหวกจอกแหนแล้วเห็นน้ำ เห็นธรรม สภาวธรรมนี้ถ้าเป็นน้ำ สภาวธรรมนี้ก็เป็นอัตตา สภาวธรรมนี้ก็เป็นตัวตน

สภาวธรรมนี้เป็นสภาวธรรม เป็น เอโก ธัมโม นิพพานคือการดับสมมุติทั้งหมด สิ่งที่ดับสมมุติทั้งหมด ดับสิ่งต่างๆ ทั้งหมด มันจะเป็นน้ำเป็นสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างไร เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์เอามาเป็นบุคลาธิษฐาน ว่าแหวกจอกแหนแล้วจะเห็นน้ำ ขุดบ่อแล้วจะได้น้ำ ขุดอวิชชาออกจากใจแล้วจะเห็นธรรม สิ่งที่เห็นธรรมนี้เอาเป็นบุคลาธิษฐานเพื่อสอนเด็กๆ

แต่ถ้าจะสอนผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะต้องเข้าไปเห็นสภาวะความเป็นจริง สิ่งที่เป็นสภาวะความเป็นจริงคือสิ่งที่ว่ามันเข้าไปทำลายกันทั้งหมด สิ่งที่ทำลายทั้งหมดแล้วเหลืออะไร? เหลือสิ่งที่เหลือ เหลือสิ่งที่รู้ เหลือสิ่งที่ความเป็นจริง เหลือสิ่งที่เป็นสภาวธรรม นี้คือปัญญารู้แจ้ง ไม่ใช่ปัญญารู้เท่า ปัญญารู้เท่าคือปัญญารู้เท่ากับสวะตัณหาความทะยานอยาก ปัญญารู้แจ้งจากธรรมมันต้องเข้าไปชำระกิเลส ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาของมรรคญาณ มรรคญาณทำลายกิเลสถึงที่สุดแล้ว นี้ถึงจะเป็นปัญญารู้แจ้ง เอวัง